การเรียนบัลเล่ต์ นอกจากจะช่วยพัฒนาบุคลิกของเด็กแล้ว ยังสามารถช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของลักษณะการเดินให้มีท่าทีที่สง่างามได้อีกด้วย เด็กที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นประจำจะเป็นเด็กที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ร่าเริงแจ่มใส เป็นการเสริมสร้างความมั่นใจและความกล้าแสดงออกให้กับเด็ก ตั้งแต่วัยเยาว์ อีกทั้งยังเป็นการปลูกฝังให้เด็กรักในเสียงดนตรีและการเคลื่อนไหวประกอบจังหวะ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่ดีในการพัฒนาไปสู่การเต้นในรูปแบบอื่นๆต่อไป
เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกที่เรียนเต้นบัลเล่ต์ หรือที่เรียนเต้นต่างๆให้ลูก คุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงคิดหนักใช่มั้ยคะ ดีแล้วค่ะ คิดให้หนักเถอะ เพราะถ้าเลือกพลาดแล้วเนี่ย แก้ยากค่ะ ครูเต้นอย่างไร เด็กๆก็จะซึมซาบแบบครูผู้สอนค่ะ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องวิตกมากเกินนะคะ เลือกให้เหมาะกับตัวผู้เรียนจะดีที่สุดค่ะ มาดูกันค่ะว่า เบื้องต้นเราจะเลือกอย่างไรกันดี
1. ชื่อเสียงของโรงเรียน ไม่ใช่ชื่อเสียงด้านที่มีสาขามากหรือโปรโมชั่นดีนะคะ สถาบันสอนความเป็นศิลปิน ไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อค่ะ Smiley ที่ต้องพูดถึงชื่อเสียงเนี่ย ก็เพื่อความมั่นใจค่ะว่าสถาบันนั้นๆ จะเลือกครูผู้สอนที่มีความเชื่อถือได้ สถานที่และบรรยากาศในห้องเรียนเหมาะสม จำนวนนักเรียนในห้องไม่แออัดจนเกินไป ราคาค่าเรียนยุติธรรม
2. ครูผู้สอน ส่วนใหญ่สามารถขอเข้าไปทดลองเรียนได้ค่ะ ลองสังเกตดูว่าเด็กสนุกสนานกับการเรียนแค่ไหน ครูผู้สอนมีบุคลิกอย่างไร ครูแต่ละท่านท่านก็มี Profile อย่างไร ถ้าคิดว่าไม่คลิ้กกับเด็ก ก็ลองหาท่านอื่นดูได้ค่ะ
3. ตารางเวลาเรียน เรื่องการจัดเวลา อาจเป็นสิ่งยากพอสมควรสำหรับเด็กสมัยนี้ค่ะ เพราะบางคนเรียนพิเศษตั้งหลายอย่าง ต้องเลือกเอาค่ะว่าจะให้น้ำหนักกับสิ่งไหนมากกว่ากัน ส่วนใหญ่สถาบันสอนเต้นบัลเล่ต์จะเปิดสอนทั้งวันในวันเสาร์ และวันอาทิตย์ค่ะ ส่วนวันธรรมดาจันทร์ถึงศุกร์ก็จะเป็นช่วงเย็นหลังโรงเรียนเลิก แต่ถ้าเป็นคลาสคุณแม่บ้านก็จะเป็นช่วงสายๆค่ะ เพื่อคุณแม่บ้านที่ส่งลูกไปโรงเรียนแล้ว และยังอยากฟิตหุ่นด้วยการเต้น มีเยอะเหมือนกันนะคะคลาสเต้นบัลเลต์แบบนี้ ตัวเจ้าของBlogเองก็เคยสอนทั้งในญี่ปุ่นและไทยค่ะ
4. ราคาค่าเรียน ส่วนใหญ่จะประมาณ350 – 450 บาทต่อหนึ่งชั่วโมงค่ะ ถ้าเรียนแบบส่วนตัวก็น่าจะประมาณ 2,500 ขึ้นไป
5. ชุด บางสถาบันก็จะมี uniform แต่ส่วนใหญเด็กเล็กก็ไม่ค่อยซีเรียสค่ะ ซึ่งก็จะมี ชุดบัลเล่ต์ ถุงเท้าหรือถุงน่องและก็รองเท้าบัลเล่ต์